วันเสาร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2562

จิตกับวิญญาณ




PA16018-7

19 เมษายน 2556

หนังสืออีเล็คโทรนิคชุดนี้จัดทำขึ้นเพื่ออุทิศให้บิดา - มารดา ผู้มีพระคุณ ครู - อาจารย์ และสรรพสัตว์ผู้ร่วมทุกข์เวียนว่ายอยู่ในสังสารวัฏ ตลอดจนดวงวิญญาณไร้ญาติ

องสรภาณมธุรส หลวงพ่อบ๋าวเอิง วัดสมณานัมบริหารวัดญวน สะพานขาว ตอน ความดีเท่านั้นที่จะเป็นสีแสงติดดวงวิญญาณของเราตลอดไปสัตว์โลกทั้งหลายย่อมต้องพบกับสภาวะ 4 อย่าง คือ เกิด แก่ เจ็บ ตายในพระพุทธศาสนากล่าวไว้ว่าทั้ง 4 อย่างนี้ล้วนเป็นความทุกข์เพราะเมื่อสิ้นจากโลกมนุษย์ไปแล้วก็ยังต้องไป เวียนว่ายตายเกิดในภพชาติต่าง ๆ หาสูญสิ้นไม่การทำบาปด้วยกายก็ดี วาจาก็ดี ใจก็ดี แม้จะกระทำในที่ลับไม่มีผู้ใดรู้ ก็ยังมีผู้หนึ่งรู้จนได้ผู้นั้นคือตนเองกรุงเทพมหานครย้อนหลังไปประมาณ 70 ปี ชื่อขององสรภาณมธุรส หลวงพ่อบ๋าวเอิง อดีตเจ้าอาวาส วัดสมณานัมบริหารหรือที่เรารู้จักกันในชื่อวัดญวน สะพานขาว เป็นที่รู้จักของคนทั่วไปในฐานะที่ท่านเป็นพระสงฆ์ญวน สังกัดอนัมนิกายที่มีการปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบตามหลักของพุทธศาสนาความเมตตาของท่านนอกจากการให้ความช่วยเหลือและสงเคราะห์ช่วยรักษาโรคภัยไข้เจ็บ แล้ว สิ่งที่ทำให้ท่านเป็นที่รู้จักของคนทั่วไปในยุคสมัยนั้นคือการอัญเชิญวิญญาณและการติดต่อสื่อสารกับสิ่งเร้นลับ เช่น เทพ เทวดา วิญญาณของนักบวชที่ล่วงลับไปแล้ว ฯลฯ วัดสมณานัมบริหาร เป็นวัดฝ่าย อนัมนิกาย เดิมชื่อ วัดเกี๋ยงเพื้อกตื่อ ตั้งอยู่ริมคลองผดุงกรุงเกษม ชาวญวนที่อพยพมาพึ่งพระบรมโพธิสมภารในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้า เจ้าอยู่หัว เป็นผู้สร้างขึ้น ต่อมาในปี พ.ศ.2449 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามวัดใหม่ว่า วัดสมณานัมบริหารโพธิสมภารในเมืองไทยและมีการสร้างวัดขึ้นเราจึง

เรียกวัดเหล่านั้นว่าวัดญวน หรือวัดอนัม ซึ่งคำว่า อนัม หรือ ญวน หรือเวียดนามจึงเป็นคำที่มีความหมายเดียวกันดังนั้นคำว่า อนัมนิกาย จึงสามารถแปลได้ว่า การถือพระพุทธศาสนาอย่างเมืองญวนแต่เนื่องจากพระญวนในประเทศเวียดนามกับพระญวนในประเทศไทยไม่ได้มีการติดต่อกัน โดยต่างฝ่ายต่างก็ถือคติและธรรมเนียมตามประเทศที่ตนเองอาศัยอยู่ ดังนั้นพระญวนที่เข้ามาอยู่ในประเทศไทย จึงหันมายึดถือตามแนวของพระสงฆ์ไทยในบางเรื่อง เช่นการไม่ฉันข้าวเย็น การครองผ้าสีเหลือง ฯลฯ ซึ่งลักษณะแบบนี้จะแตกต่างจากพระสงฆ์ในประเทศเวียดนามหรือประเทศจีน คือพระสงฆ์ที่นั่นสามารถฉันข้าวเย็นได้ การครองผ้าจีวรมีทั้งสีเทา สีแดงฝาด สีเหลือง และสีอื่น ๆ เพียงแต่ข้อวัตรปฏิบัติอย่างอื่นและกิจของสงฆ์ที่พึงทำก็ยังคงปฏิบัติตามแบบในประเทศเวียดนามเหมือนเดิมเช่น ประเพณีการทำ กงเต็ก หรือการให้ความเคารพและเชื่อถือในเรื่องของเทพเจ้าต่าง ๆ หลวงพ่อบ๋าวเอิง ท่านเป็นพระที่ได้รับการยอมรับของลูกศิษย์และคนทั่วไปว่ามีความสามารถในการ เชิญวิญญาณ ซึ่งท่านเคยเล่าให้ฟังว่าตัวท่านเองมีความสนใจในเรื่องของจิตและวิญญาณ ท่านจึงได้เริ่มค้นคว้าและ

ทดสอบอยู่หลายปี จนท่านสามารถเชิญวิญญาณลงมาประทับบนร่างทรงได้ท่านอธิบายว่าการประทับทรงนี้เป็นวิธีการอย่างหนึ่งที่ทำให้มนุษย์สามารถติดต่อ กับวิญญาณได้โดยตรงและเป็นวิธีการแต่เพียงอย่างเดียวที่ทำให้เราเห็ปรากฏการณ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับวิญญาณได้ชัดเจนกว่าวิธีการในแบบอื่น ๆ ผลของการเชิญวิญญาณ จะทำให้เราพบว่าวิญญาณนั้น ๆ มีสภาพอย่างไรและวิญญาณเหล่านั้นได้รับผลกรรมที่ตนเองเคยกระทำไว้เมื่อครั้งสมัยที่ยังมีชีวิตอยู่อย่างไรสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านทรงได้ตรัสรู้พระธรรมอันประเสริฐ

สุด คือ อริยสัจ 4 ซึ่งเป็นทางที่ทำให้พระองค์ทรงหลุดพ้นจากมวลทุกข์ไปสู่จุดหมายปลายทางคือ พระนิพพาน คือไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะสงสาร อีกต่อไปเรื่องของ การเวียนว่ายตายเกิดหรือการสืบภพชาติ มีกล่าวไว้ในพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธศาสนาและก็มีเรื่องจริงให้พวกเราได้เห็นเป็นตัวอย่าง เช่น การระลึกชาติ ฯลฯ จะว่าไปแล้วถึงเรื่องเหล่านี้จะฟังดูแล้วเหมือนเป็นนิทาน หรือ นวนิยายสำหรับใครบางคน แต่ก็ยังมีคนอีกจำนวนไม่น้อยที่คงเชื่อถือว่าเรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องจริงอาตมาภาพได้พยายามค้นคว้าหาวิธีที่จะนำเรื่องเหล่านี้มาแสดงให้ประจักษ์แก่คนทั่วไป โดยการเรียนรู้จากวิญญาณหรือที่เราเรียกกันว่าสิ่งไม่มีตัวตนซึ่งถ้าเราปฏิบัติให้ถูกวิธีแล้วก็จะได้รับผลที่ปรากฏตามมา ส่วนว่าใครจะเชื่อแค่ไหนก็แล้วแต่ความวินิจฉัยของแต่ละคนหลวงพ่อบ๋าวเอิงมักจะถ่อมตนเสมอว่าท่านเองเป็นเพียงนักปฏิบัติและชอบศึกษาค้นคว้าหาความจริงตามหลักธรรมของพระพุทธเจ้าในฐานะที่ท่านเป็นพุทธบุตรของพระพุทธเจ้าในลัทธิมหายานแห่งอนัมนิกายท่านได้ใช้หลักที่ว่าเชื่อเป็นแม่บทแห่งความสำเร็จสำหรับเป็นหลักในการปฏิบัติและท่านก็เชื่อต่ออีกว่ามนุษย์เราทุก

คนล้วนตกอยู่ในอำนาจสามประการคือ กิเลส กรรม และวิบากด้วยหลักที่ว่าเมื่อชีวิตและร่างกายแตกดับแล้วจิตวิญญาณย่อมเกิดสืบภพชาติต่อไปอีก อดีตวิญญาณของคนเราต้องมีแน่ ซึ่งสิ่งนั้นเองเป็นมูลเหตุให้ท่านมีความคิดที่ว่าการติดต่อกับวิญญาณสามารถกระทำได้พูด ถึงเรื่องของการติดต่อกับวิญญาณหรือที่เราจะเรียกง่าย ๆ ว่าการติดต่อกับภูตผีอะไรทำนองนี้ผมเคยเรียนถามกับท่านพระสมณานัมธีราจารย์ติ่นเรียนเจ้าอาวาสวัดสมณานัมบริหาร องค์ปัจจุบัน ว่าท่านเชื่อหรือไม่ว่าเรื่องผีมีจริงแทนคำตอบท่านกลับถามผมว่า โยมต้องถามตัวเองก่อนว่าเชื่อเรื่องผีหรือเปล่าแน่นอนครับคำตอบคือ เชื่อ การสนทนาจึงดำเนินต่อไปว่า ตามทัศนคติความเชื่อ

ของชาวญวนพื้นฐานโดยทั่วไปเชื่อในเรื่องของวิญญาณ ซึ่งความเชื่อดังกล่าวจึงเป็นที่มาของพิธีกรรมที่เราเรียกกันว่ากงเต็ก ท่านว่าพิธีกงเต็กมีมานานเนกาเลแล้วซึ่งผมเองก็คงไม่ต้องอธิบายมากเพราะคติ ความเชื่อในพิธีกงเต็กนี้ ปัจจุบันก็ยังคงมีการประกอบพิธีอยู่เสมอ นัยว่าเพื่อเป็นเกียรติ เป็นประโยชน์แก่ผู้ถึงแก่กรรม ดังนั้นเราจึงสามารถเห็นพิธีกงเต็กเสมอๆทั้งในงานราษฏร์และงานพิธีของหลวงคำว่า กงเต็ก ประกอบด้วยสองคำรวมกันครับคือคำว่า กง ในพระพุทธศาสนาลัทธิมหายาน หมายถึง การกระทำในสิ่งที่ถูกที่ชอบซึ่งเป็นประโยชน์แทนวิญญานผู้มรณะและคำว่า เต็ก หมายถึง กุศลกรรมอันเกิดจากกรรมดีพิธีกงเต็กตามธรรมเนียมของชาวญวน จะประกอบไปด้วย 5 ขั้นตอนคือ ชุมนุมเทวดา เชิญวิญญาณให้มาสถิตอยู่ในโคมจำลอง เปิดมณฑลพิธี สวดแผ่เมตตาและส่งข้ามสะพานและด้วยเหตุที่ว่าพิธีกงเต็ก มีบทอัญเชิญเทพเจ้าและวิญญาณหลวงพ่อบ๋าวเอิงท่านจึงได้นำวิธีการนี้มาใช้ในการติดต่อกับวิญญาณครับ ความสำเร็จที่ได้จากเคล็ดลับอันนี้จึงเป็นที่มาของเหตุการณ์นี้ครับ 

เรื่องมีอยู่ว่าใน ปี พ.ศ.2489 หลวงพ่อ บ๋าวเอิง ท่านได้รับนิมนต์ให้ไปทำพิธี กงเต็ก ให้แก่นายฮ้วย แซ่หลือ โดยพิธีเริ่มในเวลาประมาณบ่ายสองโมง หลังจากได้ดำเนินกรรมวิธีตามขั้นตอนต่าง ๆ ครบถ้วนแล้วในช่วงเวลาประมาณหกโมงเย็น ท่านได้ตั้งจิตอธิฐานระลึกถึงบารมีของพระพุทธเจ้า ให้ทรงโปรดประทานโอกาสให้ดวงวิญญาณของนาย ฮ้วย แซ่หลือมาสิงสถิตย์ในโคมจำลองที่สถิตของวิญญาณ ตามพิธีกรรมเพื่อที่ว่าวิญญาณจะได้ฟังธรรมและรับการแผ่ส่วนบุญกุศลจากบรรดาบุตรของนายฮ้วยหลวงพ่อบ๋าวเอิงท่านเล่าว่า ในขณะนั้นเกิดนิมิตเห็นแสงสว่างขนาดเท่าไฟฉายส่องแสงเป็นลำและพุ่งตรงมาที่ ท่าน ซึ่งในลำแสงนั้นท่านสังเกตว่ามีจุดเล็ก ๆ เคลื่อนที่เข้ามายังตัวท่าน และมันก็ค่อยๆเคลื่อนเข้ามาใกล้ ๆ จนท่านสังเกตเห็นว่ามันเป็นซึ่งภาพนั้นเป็นร่างของมนุษย์สวมเสื้อกุยเฮงและกางเกงปั่งลิ้นสีดำ ลักษณะของร่างกาย

ผอมและหลังค่อมเล็กน้อย เมื่อดวงวิญญาณนั้นเคลื่อนเข้ามาใกล้ท่านสักพักก็หายไป ด้วยความประหลาดใจท่านจึงนำเอาลักษณะของชายชราคนนี้ไปถามกับบรรดาลูก ๆของผู้ตาย คำตอบที่ได้รับคือชายคนนั้นคือ นายฮ้วย แซ่หลือ นั่นเองหลวงพ่อเล่าว่า ขณะที่ท่านคิดว่าจะรวบรวมเรื่องราวเกี่ยวกับวิญญาณเพื่อใช้เป็นคติสอนคนท่านได้เกิดความวิตกว่ายังมีบุคคลอีกจำนวนมากที่ไม่เชื่อและไม่เลื่อมใสในเรื่องหล่านี้ ดูได้จากปัญหาข้อถกเถียงในเรื่องของ การเข้าทรง ว่ามันเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องเท็จเชื่อถือได้ขนาดไหนครับท่ามกลางมรสุมของความเคลือบแคลงว่า เชื่อได้หรือไม่ในที่สุดหลวง พ่อบ๋าวเอิงท่านได้ตัดสินใจนำเรื่องราวเหล่านี้ตลอดจนประสบการณ์ทางวิญญาณที่เกิดขึ้นมาเผยแพร่ท่านกล่าว ด้วยความมั่นใจว่าท่านไม่กลัวเรื่องที่ว่าคนจะกล่าวหาท่านว่าเป็นพระงมงายไม่มีเหตุผล เพราะเรื่องที่ท่านทำมันไม่ใช่การทำลาย แต่มันเป็นเรื่องของการทำประโยชน์ และที่สำคัญมันเป็นการเผยแพร่ในเรื่องของจิต วิญญาณ การเวียนว่ายตายเกิด ตลอดจนบาปบุญคุณโทษอาตมา เผยแพร่ด้วยความสุจริตใจ ด้วยศีลของพระพุทธองค์ ด้วยสัจจะของพระภิกษุ ถ้าจะมีผู้กล่าวหาว่าอาตมาทำเพื่อสร้างบารมีให้ตัวเอง อาตมาขอเจริญพรเสียก่อนในที่นี้ว่าอาตมา มีบารมีของตัวเองมากพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องหาอะไรอีกให้เกิดมลทินแก่ตัวเอง บารมีที่ว่านี้คือบารมีขององค์พระพุทธเจ้าที่อาตมาได้อาศัยอยู่ในขณะนี้การสละตัวเข้าเป็นพุทธบุตรของพระพุทธเจ้า และประพฤติตามธรรมของพระองค์เท่านี้ก็เป็นบารมีที่น่าภูมิใจมากพออยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องหา

บารมีอะไรอีกแล้วสำหรับอาตมาความกล้าหาญของหลวงพ่อบ๋าวเอิงในการเลือกที่จะทำเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ที่เสี่ยงต่อการต่อต้านของคนหลายคน ทำให้เรื่องราวที่เป็นเหมือนนวนิยายกลายเป็นเรื่องจริงและเป็นเรื่องเล่าที่สืบทอดกันมาอีกยาวนานในช่วงประมาณเดือนธันวาคม พ.ศ.2491 หลวงพ่อบ๋าวเอิงได้รับนิมนต์จากคณะกรรมการศาลเจ้าพ่อกวนอู ที่ปากน้ำโพ จังหวัดนครสวรรค์ เพื่อไปประกอบพิธีเทวาภิเษกเบิกพระรัศมี เจ้าพ่อกวนอู โดยมีการตกลงกันว่าหลวงพ่อแค่เพียงแต่ประกอบพิธีทางศาสนาให้ครบถ้วนและถูกต้องตามวิธีการเท่านั้นส่วนเรื่องของการเชิญเจ้าพ่อกวนอูเพื่อให้มาประทับ

ทรงลุยไฟเป็นเรื่องของศาลเจ้าโดยท่านให้เหตุผลว่ามันไม่ใช่เรื่องของสงฆ์ มันเป็นเรื่องของเจ้าพ่อกวนอูเองว่าจะกระทำได้หรือไม่ และถ้าวิญญาณของเจ้าพ่อกวนอูศักดิ์สิทธิ์จริงแล้ว ท่านก็จะดลบันดาลลงประทับทรงลุยไฟเองแต่การณ์กลับไม่เป็นอย่างนั้น เพราะเมื่อเสร็จพิธีของท่าน คณะกรรมการศาลเจ้าได้ขอร้องไม่ให้ท่านกลับ และขอร้องให้ท่านเชิญวิญญาณของเจ้าพ่อกวนอูด้วยเนื่อง จากการจัดงานครั้งนี้คณะกรรมการได้ทุ่มเทแรงกาย แรงใจและทุนทรัพย์ลงไปมาก จึงอยากขอชมเป็นบุญตาว่าความศักดิ์สิทธิ์ในเรื่องเทพเจ้าทั้งหลายในโลกโดย เฉพาะเจ้าพ่อกวนอูนั้นมีจริงและศักดิ์สิทธิ์จริงเรื่อง นี้จบลงตรงที่ท่านไม่สามารถหลีกเลี่ยงการนิมนต์ครั้งนี้ได้ ท่านว่ามันเป็นลักษณะของการเสี่ยงเพราะตั้งแต่เกิดมาท่านยังไม่เคยมีความคิดจะตั้งตัวเป็นอาจารย์ในทางเชิญวิญญาณเจ้าพ่อเจ้าแม่ลุยไฟเลย ครั้นถึงเวลาลุยไฟจริงๆ ท่านว่าแทบจะเป็นลมเพราะนึกว่าถ่านที่นำมาใช้ในพิธีลุยไฟจะใช่แต่เพียงถัง สองถัง แต่นี่กลับมีมากถึงหลายเล่มเกวียนข้าพเจ้า ตกตลึงและจิตใจเต้นเป็นตีกลอง เหงื่อกาฬไหลทันทีไม่สามารถจะนำมาบอกเล่าได้อย่างไรถูกยืนงงอยู่กับที่เป็นเวลานาน ขณะที่ผู้คนก็ไม่รู้ว่ามาจากไหนต่อไหนเต็มลานไปหมด มองดูแล้วใจหายหลวงพ่อบ๋าวเอิงเล่าว่าท่านจุดธูปสวดมนต์ภาวนาตั้งเป็นหลายชั่วโมง ก็ยังไม่เห็นวี่แววว่าเจ้าพ่อกวนอูจะเสด็จลงมาประทับทรงสักที และเมื่อหันกลับไปมองดูคนที่เข้ามาร่วมพิธีท่านว่าถ้าแทรกแผ่นดินได้ก็อยากจะแทรกแผ่นดินหนีไปเลยอีกอย่างถ้าเจ้าพ่อกวนอูไม่ยอมเสด็จลงมาลุยไฟเห็นทีจะต้องกราบถวายวัดและคืน ตำแหน่งสมภาร คิดไปคิดมาท่านก็คิดถึงพระคาถาอัญเชิญ

วิญญาณในพิธี กงเต็ก ท่านว่าพระคาถานี้มีเพียง 14 คำและสำหรับพระญวนแล้วนับว่าเป็นหญ้าปากคอกเลยทีเดียว ท่านจึงสั่งให้พระที่มาด้วยสวดขึ้น ขณะที่ตัวท่านได้ถือธูปสำรวมจิตและส่งกระแสจิตไปที่รูปเจ้าพ่อ กวนอู มนุษย์ธรรมดาอย่างพวกเรา เพราะอะไรหรือครับ ตอบง่ายมากเพราะวิญญาณเป็นสิ่งที่มนุษย์ไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเนื้อถึงแม้ว่าเราจะใช้เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์มาจับในเรื่องของวิญญาณ(ตามที่เห็นในรายการโทรทัศน์) มันก็ยังไม่สามารถทำให้เราเห็นวิญญาณหรือได้ข้อสรุปอะไรที่ชัดเจน ดังนั้นวิญญาณจึงเป็นสิ่งเร้นลับแก่มนุษย์ตลอดมาตั้งแต่อดีตจนถึงบัดนี้จะว่าไปแล้วพระธรรมคำสั่งสอนในพระพุทธศานา ได้กล่าวรับรองความจริงในเรื่องของวิญญาณไว้แต่ก็สอนให้เราไม่ยึดถือในเรื่องดังกล่าวเพราะเรื่องของวิญญาณเป็นเรื่องที่จะทำให้มนุษย์ต้องติดตรึงอยู่ในสงสารวัฏว่ากันว่าเมื่อรูปร่างกายดับ ชีวิตดับจิตวิญญาณนั้นจะต้องไปสร้างภพใหม่ หาร่างใหม่ตามกำลังบุญและบาปที่ได้กระทำไว้พูดถึงเรื่องวิญญาณคำว่าวิญญาณเป็นภาษามคธ แปลว่า รู้แจ้งหรือรู้ชัดและมีอยู่ในคนหรือสัตว์ทั่วไป

จัดเป็นนามธรรม ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ เทวดา ผีสางนางไม้ ล้วนแล้วแต่มีวิญญาณครองและมีลักษณะที่เรียกว่าเกิดและดับและ เมื่อเราพูดถึงวิญญาณ ก็คงต้องพูดถึงเรื่องจิตด้วย เพราะคำสองคำนี้ใช้ผสมผสานปนเปกันไปหมด บางคนก็ว่าจิตกับวิญญาณคือคำ ๆ เดียวกัน บางคนก็ว่าจิตและวิญญาณ ความหมายหรือนัยยะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ผมเองก็ภูมิความรู้ต่ำไม่สามารถอธิบายได้คงต้องรอผู้ที่รู้มาให้คำจำกัดความที่ชัดเจนน่าจะเหมาะสมกว่าครับแต่อย่างไรก็ตามผมเคยอ่านบทความหนึ่ง เขียนไว้ว่าจิตเปรียบเหมือนน้ำและวิญญาณเปรียบเหมือนคลื่น คลื่น เกิดจากอำนาจลมและอากาศ เกิดขึ้นแล้วยุบดับลง ไปเกิดเป็นคลื่นลูกใหม่ แล้วก็ดับไปอีก นัยยะนี้วิญญาณก็เช่นกัน เกิดขึ้นแล้วดับไป ถ้าเกิดกับอารมณ์ก็จะดับไปพร้อมอารมณ์ แต่จิต - จิตเป็นตัวยืน เปรียบเหมือนกับน้ำที่ยืนทรงตัวเป็นแดนเกิดของลูกคลื่นฉะนี้แล.....

วันเสาร์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2562

คำเตือนจากเบื้องบน



ร้อนจังอากาศร้อน ! ! ! 1 มิถุนายน 2559 เข้าถึงฤดูฝนอยากให้(เย็นแค่ 2- 3) วันก็ยังดีกว่าไม่เย็นเลย

มนุษย์ทุกคนที่เกิดมาในโลกนี้ เหมือนปลาที่ว่ายอยู่ในตู้ ว่ายเวียนไป - เวียนมา ไม่รู้จบ จะไม่สามารถหลุดพ้นออกจากตู้ได้นอกจากความตายหรือหลุมฝังศพนั่นเอง มนุษย์ทุกชีวิตจะต้องเกิด - แก่ - เจ็บ - ตาย และเป็นของแน่นอนที่สุด แล้วทำไม่ต้องมากลั่นแกล้งกัน - ทะเลาะกัน - เกลี่ยดชังกัน - อิจฉา - ริษยากันเพื่ออะไรทำไม ? ไม่ให้อภัยให้ซึ่งกันและกัน ทำให้เกิดสุข จิตจะได้ สงบ ไม่ต้องกลุ้มใจ ทำให้ประสาท ไม่

ตึงเครียด ดังนั้นเรามาร่วมด้วยช่วยกันเข้าธรรมมะซ่ะเถิด เพื่อจะได้มี จิต สงบ สบาย คลายทุกข์และจะได้ละซึ่งความโลภ - โกรธ - หลง เพื่อตัดกิเลส พวกอยากดัง - อยากเด่น - อยากสวย - อยากรวย อยากได้เกียรติยศซึ่งล้วนแต่ได้แล้วก็ไม่จีรังยั่งยืนตลอดไป เมื่อได้แล้วก็เสื่อมไป เป็นกฏธรรมชาติ ดังนั้น..จงปลงเสียเถิดแล้วจะอยู่อย่างสุขสบาย โดยรีบสร้างความดีตั้งแต่วันนี้ - วินาทีนี้ เริ่มเลยไม่ต้องลังเล เพราะไม่แน่นักพรุ่งนี้ท่านอาจหมดโอกาสสร้างความดี

คัดลอกจาก.......หนังสือที่เขาพิมพ์แจกตามเทศกาลต่าง ๆ โดยผู้ใช้นามแฝงว่า......หลานสมเด็จ ฯ




สังสารวัฏฏ์







เห็นกองกระดูกนี้มั๊ย ? แล้วรู้มั๊ย ? เจ้าของกระดูกกองนี้คือใครเมื่อก่อนเขาเคยมีตัวตนอยู่บนโลกเบี้ยว ๆ ใบนี้แล้วลองคิดดูดี ๆ ว่าอีกหน่อยเราจะเป็นเหมือนกระดูกกองนี้มั๊ย ? ฝากไว้ให้คิดพิจารณาเมื่อก่อนมีตัวตน บัดนี้เป็นเถ้าถ่านจากเถ้าถ่านเป็นธุลีและอีกหน่อยจะกลายเป็นสสารจากสสารก็สลายหายไปในที่สุดไม่ว่าคุณจะเป็นใคร พระราชา ยาจก เศรษฐีล้วนหนีเงื้อมมือมัจจุราชไม่พ้น แต่อย่าลืมว่า มนุษย์ทุก ทุกนามทุกคนเกิดมามีศักดิ์ศรีเท่าเทียมกันเพราะฉะนั้นจงอย่าให้ใครมาย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของเรา จงอย่าให้ใครมากดขี่ข่มเหงรังแกเรา

(ตายก่อนตาย พุทธทาส ภิกขุ)

ตายเมื่อตาย ย่อมกลาย ไปเป็นผี
ตายไม่ดี ได้เป็นที่ ผีตายโหง
ตายทำไม เพียงให้ เขาใส่โลง
ตายโอ่โถง นั้นคือตาย เสียก่อนตาย

ตายก่อนตาย มิใช่กลาย ไปเป็นผี
แต่กลายเป็น สิ่งที่ ไม่สูญหาย
ที่แท้นั้น คือความตาย ที่ไม่ตาย
มีความหมาย ไม่มีใคร ได้เกิดแล

คำพูดนี้ ผันผวน ชวนฉงน
เหมือนเล่นลิ้น ลาวน คนตอแหล
แต่เป็นความ จริงอัน ไม่ผันแปร
ใครคิดแก้ อรรถได้ สบายเอย ฯ